iRss by iGetWeb

การสั่งซื้อสินค้า

Fri, 16 Dec 2011 12:26:34 +0700

การสั่งซื้อสินค้าผ่านเวปไซด์1. ให้เลือกสินค้าที่ต้องการสั่งซื้อโดยคลิก "ORDER" เพื่อหยิบสินค้าใส่ตะกร้า2. หากสินค้ามีรูปแบบให้เลือก เช่นสีหรือขนาด ให้คลิกที่รูปสินค้าแล้วเข้าไปคลิกเลือกรูปแบบที่ต้องการในวงกลมตรงคำว่า "เลือก" แล้วคลิก "Oreder Now"3. ต้องการซื้อสินค้าอื่นเพิ่มเติมให้คลิก "กลับไปซื้อสินค้าเพิ่ม" แล้วทำซ้ำตามข้อที่ 1-3 4. เมื่อได้สินค้าครบตามที่ต้องการแล้วเลือก "วิธีการชำระเงิน" ราคาที่แสดงบนหน้าเวปนั้นยังไม่รวมค่าส่ง4.1 หากเลือก "ชำระโดยการโอนเงินผ่านทางธนาคาร" ให้คลิกเลือกธนาคารที่ท่านต้องการโอนเงิน เมื่อท่านสั่งซื้อสินค้าแล้ว ยังไม่ต้องโอนเงิน ทางร้านจะคำนวณค่าส่งและจะติดต่อกลับไปหาท่านอีกครั้ง4.2 หากเลือก "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" ท่านรอรับใบแจ้งจากไปรษณีย์ให้ไปรับสินค้า โดยปกติจะใช้เวลา 5-7 วันสินค้าจะถึงผู้รับ โดยยอดเงินที่ท่านชำระ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ รวมค่าส่งเรียบร้อยแล้ว5.หากสินค้าบางรายการไม่มีอยู่ในสต๊อก ศูนย์บริขารธุดงค์จะแจ้งกลับไปยังท่านลูกค้า การสั่งซื้อสินค้าทางโทรศัพท์1.หากต้องการให่ส่งสินค้าแบบ "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" โทรฯสั่งสินค่้าที่หมายเลข 02-438-4353,02-437-4739 (สาขาวัดเศวตฉัตร)2.หากต้องการให้ส่งสินค้าแบบ "โอนเงินผ่านทางธนาคาร" โทรฯสั่งสินค้าที่หมายเลข 02-887-2418,02-887-2610 (สาขาพุทธมณฑลสาย2) เลือกการชำระเงินแบบไหนดี1. "ชำระโดยการโอนเงินผ่านทางธนาคาร" ค่าส่งถูกกว่าแบบ "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" เหมาะสำหรับการสั่งซื้อที่มียอดมากกว่า 5,000 บาท หรือผู้รับอยู่ในพื่นที่ อำเภอเมือง ของทุกจังหวัด2. "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" เหมาะสำหรับผู้รับอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากอำเภอเมือง และสินค้ามียอดสั่งซื้อ(รวมค่าส่ง)ไม่เกิน 5,000 บาท เพราะการส่งแบบ"พัสดุเก็บเงินปลายทาง" สินค้า 1 กล่อง ราคารวมค่าส่งไม่เกิน 5,000 บาท เช่น สินค้ารวมค่าส่งเป็นเงิน 5,100 บาท จะต้องส่ง 2 กล่อง กล่องแรก 5,000 บาท กล่องที่สอง 100 บาท3. "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" หากยอดเงินเกิน 5,000 บาท และต้องการให้ส่งแบบ"พัสดุเก็บเงินปลายทาง" จะต้องส่งแบบ"พัสดุเก็บเงินปลายทางEMS" ซึ่งค่าส่งจะแพงกว่า "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" ประมาณเกือบเท่าตัว (ค่าส่งพัสดุจะมีตัวแปร 2 ตัวคือ น้ำหนักและจำนวนเงินที่เรียกเก็บ)การส่งสินค้า1. หากลูกค้าเลือก"ชำระโดยการโอนเงินผ่านทางธนาคาร" ทางศูนย์บริขารธุดงค์จะส่งทางไปรษณีย์หรือบริษัทจัดส่งสินค้า โดยพิจารณาจากน้ำหนักสินค้าและที่อยู่ผู้รับ2. "พัสดุเก็บเงินปลายทาง" จัดส่งทางไปราณีย์ โดยท่านไปรับสินค้าและชำระเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ สอบถามเรื่องการจัดส่งสินค้า ติดต่อลูกค้าสัมพันธ์ 02-887-2418

สีและเนื้อผ้า

Tue, 12 Apr 2011 15:41:31 +0700

เนื้อผ้าผ้าที่ศูนย์บริขารใช้ตัดเย็บ ชุดไตร จีวร นั้น เป็นผ้าฝ้าย100%ทั้งสิ้น เหตุที่ใช้ผ้าฝ้ายนั้น เพราะพระสงฆ์ที่อยู่ตามป่าท่านต้องย้อมผ้าเองโดยใช้แก่นขนุนย้อมผ้า หากเป็นผ้าที่ผสมไนล่อนจะย้อมไม่ติดสี อีกทั้งผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ห่มสบาย เนื้อผ้านุ่ม ระบายอากาศได้ดี ผ้าที่ศูนย์บริขารธุดงค์เลือกมาตัดเย็บ มี 4 แบบ สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมตามสถานที่และสภาพแวดล้อม(เรียงจากเนื้อบางไปหาเนื้อหนา)1. ผ้ามัสลิน เป็นผ้าที่มีความเป็นมาไม่น้อยกว่า 300 ปี มีต้นกำเนิดที่เมือกดักกา ประเทศบังกลาเทศ เผยแพร่และได้รับความนิยมในแถบตะวันออกกลาง โดยตั้งชื่อตามเมืองที่ชาวยุโรปไปพบ คือเมือง Mosul ผ้ามัสลินเป็นผ้าฝ้ายเนื้อบางละเอียด ระบายอากาศดี แห้งเร็ว น้ำหนักเบา เมื่อนำมาตัดเป็นจีวรห่มแล้วไม่ร้อน จีวรผ้ามัสลินเป็นจีวรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อีกทั้งเหมาะสมที่จะถวายพระผู้สูงอายุ เพราะน้ำหนักเบา2. ผ้าเบอร์หมื่น (ผ้าประภัสสร,ผ้าป๊อปปลิ้น) เป็นผ้าที่มีความหนามากกว่าผ้ามัสลินขึ้นมาอีกนิด เนื้อผ้าซับเหงื่อได้ดี เนื้อผ้านิ่ม นุ่งห่มสบาย สบงผ้าเบอร์หมื่นได้รับความนิยมมากกว่าผ้าเนื้ออื่นๆ เพราะเนื้อผ้าจะเนียน นุ่งสบาย3. ผ้าซันฟอร์ไรท์ (ผ้าดิบลาย1) เป็นผ้าเนื้อหนา เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ๆอากาศหนาวเย็น หรืออยู่ในพื้นที่ๆเป็นป่า เพราะเป็นผ้าเนื้อหนา ทนต่อการเกี่ยวขูดขีดกับกิ่งไม้หรือหินดี4. ผ้าลาย2 (ผ้ายีนส์) เป็นเนื้อผ้าหนา เหมาะสำหรับพระที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศในแถบยุโรปที่อากาศหนาวจัด เนื้อผ้าทนทานมาก สีของผ้าไตรสีเหลืองส้ม เป็นสีที่พระส่วนใหญ่ใช้โดยทั่วไปสีพระราชทาน เป็นสีที่พระท่านใช้ครองเมื่อต้องไปงานพิธีต่างๆสีแก่นขนุน วัดที่ใช้ผ้าสีแก่นขนุน เช่น วัดบวร วัดสังฆทาน วัดหนองป่าพง และสายวัดป่าสีแก่นขนุนเข้ม(สีหลวงตา) วัดที่ใช้ผ้าสีแก่นขนุนเข้ม เช่น วัดป่าบ้านตาด หรือวัดสาขาอื่นๆที่อยู่ในสายวัดป่าบ้านตาด สี "หลวงตา" นั้นหมายถึงหลวงตามหาบัว ซึ่งแต่เดิมนั้นท่านครองผ้าสีแบบนี้สีกรักดำ พระที่ครองสีนี้ เช่น หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล

Sat, 22 Aug 2009 20:06:45 +0700

สินค้าของศูนย์บริขารธุดงค์ทุกชิ้น เกิดจากความตั้งใจที่จะให้พระสงฆ์มีสินค้าที่เหมาะสมใช้ เพราะทางศูนย์บริขารธุดงค์เล็งเห็นว่าของใช้ต่างๆที่พระสงฆ์ท่านใช้งานนั้นยังต้องมีการปรับปรุงอีกมาก โดยสินค้าชิ้นแรกที่นำมาปรับปรุงอย่างแรกก็คือกลดพระสงฆ์นั้น เมื่อพ้นช่วงเข้าพรรษาแล้ว ก็จะออกธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ กลด จึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญยิ่งที่จะช่วยคุ้มฝน บังแดด แต่ทว่ากลดที่ท่านใช้ในตอนนั้นมีขนาดใหญ่ (รูปร่างเหมือนสัปทน ที่ใช้กางให้นาคเวลาแห่ก่อนเข้าโบสถ์) มีด้ามเป็นไม้ยาว น้ำหนักมาก เวลากางกลดก็ต้องใช้ด้ามกลดปักลงไปในดิน ให้แน่นพอที่กลดจะตั้งตรงได้ แล้วจึงเอามุ้งมาครอบกันแมลง ถ้าพื้นดินบริเวณแข็ง ก็ลำบากมากกว่าจะปักลงได้ คำว่า “ปักกลด” นั้นบอกกิริยานี้ได้อย่างชัดเจนศูนย์บริขารธุดงค์จึงคิดว่า น่าจะทำกลดให้เล็กลง ใช้แขวนแทนการปัก เพราะตามป่านั้นมีต้นไม้มากมาย ที่แขวนหาได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงกลายมาเป็นกลดอลูมิเนียมพับได้อย่างที่เห็นในปัจจุบันกลดอลูมิเนียมพับได้คันแรกสร้างขึ้น นำไปถวายหลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน วัดป่าสว่างบุญ จ.สระบุรี จากนั้น หลวงพ่อสมชาย ก็นำกลดคันดังกล่าว ถวายแด่หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฎโฐ วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ จนถึงบัดนี้ กลดอลูมิเนียมถูกยอมรับเป็นเวลา 25 ปีมาแล้ว เพราะขนาดที่กะทัดรัด พกพาได้ง่าย มีความทนทานกว่ากลดไม้สมัยก่อนมาก สามารถซ่อมแซมได้ทุกส่วน ต่างจากกลดไม้ ที่เมื่อหักแล้วก็ต้องเปลี่ยนคันไปเลย กลดไม้ไม่สามารถซ่อมได้เมื่อประดิษฐ์กลดอลูมิเนียมได้สำเร็จแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องปรับปรุงก็คือผ้าไตรผ้าไตรที่มีขายตามร้านสังฆภัณฑ์ทั่วๆไปนั้น มีสิ่งที่ต้องให้ปรับปรุงมากมาย เพราะโดยทั่วไปนั้นดูเหมือนว่าผ้าไตรเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ “ใช้ทำพิธี” มากกว่าจะมา “ใช้งาน” เช่น ต้องการซื้อผ้าไตรไปถวายสังฆทาน ร้านทั่วๆไปก็จะยกมาให้ชุดหนึ่ง ท่านเองก็ได้ผ้าไตรไปถวายพระแต่จะพระรับไปแล้วจะใช้ได้หรือไม่นั้น ผู้ถวายย่อมไม่อาจทราบได้ หากจะยกตัวอย่างว่าทำไมผ้าไตรทั่วไปถึงเป็นปัญหาที่ต้องปรับปรุง เพราะในปัจจุบันเราก็เห็นพระท่านใช้ผ้าไตรแบบที่ว่ากันโดยทั่วไป คำตอบหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ท่านไม่มีแบบอื่นให้เลือก และอีกอย่างเมื่อมีคนมาถวายท่านจะไม่รับก็ดูกระไร ท่านจึงจำเป็นต้องรับและใช้ อย่างเลือกไม่ได้ หรืออีกตัวอย่างเป็น เรื่องที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้กันก็คือ เรื่องวินัยของพระสงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ จีวรที่พระท่านใช้นั้น เกิดจากการนำผ้าหลายชิ้นหลายขนาดนำมาเย็บต่อกัน (ภาษาพระเรียกว่า “ขัณฑ์”) จนเป็นจีวรเต็มผืน ถ้าลองสังเกตจีวรให้ดีจะเห็นเป็นเส้นแนวตะเข็บอยู่ทั่วผืน แนวตะเข็บนั้นคือรอยต่อของผ้าแต่ละชิ้น แต่จีวรโดยทั่วไปนั้นมักจะใช้วิธีพับผ้าให้เป็นแนวเล็กๆแล้วเย็บทับลงบนแนวผ้าที่พับไว้ ซึ่งมองดูแล้วคล้ายกับรอยต่อของผ้า ซึ่งวิธีการแบบนี้มีชื่อเรียกว่า “ล้มตะเข็บ” ดั้งนั้นอาจกล่าวได้ว่า จีวรโดยทั่วไปจึงไม่ถูกต้องตามพระวินัย หากจะถามต่อไปว่าเมื่อไม่ถูกต้องตามพระวินัยแล้วพระท่านใช้ได้อย่างไร คำตอบก็มีอย่างเดียวคือ ท่านก็ต้อง ปลงอาบัติ อยู่เสมอๆ แต่ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการทำให้ถูกต้องตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นศูนย์บริขารธุดงค์จึงได้เย็บจีวร 9 ขัณฑ์ออกมาเพื่อให้พระท่านได้ใช้จีวรที่ถูกต้องตามพระวินัย ส่วนที่ศูนย์บริขารธุดงค์เลือก 9 ขัณฑ์นั้นก็ยึดถือตามตำราโบราณ สมุดข่อยที่ค้นคว้ามาได้ นำมาเป็นแบบอย่างอีกปัญหาหนึ่งก็คือ ขนาดของจีวรก็ไม่ได้สัดส่วนกับรูปร่าง แต่เดิมนั้นจีวรไม่ได้มีขนาดตามแบบที่เป็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ จีวรส่วนใหญ่ขนาดของผ้ามักไม่เกิน 190 x270 ซ.ม.ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เล็กเกินไปทั้งความสูงและความกว้าง เมื่อเทียบกับรูปร่างของคนชายไทยซึ่งอยู่ที่ 169.4 ซ.ม.ทางศูนย์บริขารธุดงค์ จึงสร้างมาตรฐานขนาดของจีวรออกมาเป็นเจ้าแรกโดยเริ่มที่ขนาด 190x300 ซ.ม. และเพิ่มขึ้นทุกด้านๆละ 10 ซ.ม. เพื่อให้สมส่วนกับรูปร่าง คือ 200x300 ซ.ม. 210x320 ซ.ม. 220x330 ซ.ม. เป็นขนาดมาตรฐานของการตัดเย็บ ให้เหมาะต่างขนาดรูปร่างของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน และมาตรฐานนี้จึงกลาย เป็นต้นแบบที่ร้านอื่นๆ ยึดถือเป็นหลัก ส่วนเรื่องเล็กๆน้อยๆ อื่นๆ ทางศูนย์บริขารธุดงค์ก็ไม่ได้ละเลย เช่นเรื่องการเลือกใช้เนื้อผ้าคุณภาพดี การคัดสรรโรงงานย้อมผ้าฝีมือดี การสรรหาสีย้อมที่ติดผ้าทนนาน ฝีมือการเย็บที่ประณีตสวยงาม สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ศูนย์บริขารธุดงค์ นำมาปรับปรุง แก้ไข ให้ดีขี้นเพื่อให้สินค้านั้นเหมาะสมและคู่ควรกับการนำไปถวายพระผู้ที่เราเคารพนับถือ พระผู้ปฏิบัติดีประฏิบัติชอบ สบงปัญหาที่สำคัญที่สุดของผ้าสบงก็คือ ร้านทั่วๆไปมักจะเลือกใช้ผ้าที่บางเกินไปมาตัดเย็บเป็นสบง ทำให้ดูโป๊ น่าเกลียด และปัญหาอีกอย่างก็คือ สบงมักจะสั้นเกินไป เนื่องจากวิธีการนุ่งสบงก็คือนำผ้าสบงคาดจากด้านหลัง แล้วพับผ้าสบงเป็นจีบใหญ่ๆ เข้ามาหาตัว แล้วมาแปะไว้ด้านหน้า หากสบงสั้นเกินไปท่านก็จะพับจีบได้ไม่กี่ทบ ฉะนั้นเวลานั่ง จีบสบงจะแหวกออกได้ง่าย สบงเป็นผ้าที่รองรับการบดถูของร่างกายเมื่อยามเคลื่อนไหวไปบนที่นั่ง ศูนย์บริขารธุดงค์จึงออกแบบตะเข็บการเย็บสบงให้ทนทานต่อเรื่องนี้ ทำให้ไม่ขาดง่าย และด้วยตะเข็บแบบที่เป็นของศูนย์บริขารที่คิดขึ้นมานั้น ทำให้สบงสามารถนุ่งได้ทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านใน และด้านนอก แตกต่างจากสบงทั่วไปที่นุ่งได้ด้านเดียว หากนุ่งผิดด้านก็จะเหมือนนุ่งผ้ากลับตะเข็บ

Sat, 22 Aug 2009 19:59:49 +0700

กำเนิดแบบตัด - เย็บจีวรวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จถึงทักขิณาคิรีชนบท พร้อมด้วยพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นท้องนาของชาว มคธแล้ว มีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ เธอสามารถออกแบบตัดเย็บจีวรให้มีรูปร่างอย่างนี้ได้หรือไม่" พระอานนท์กราบทูลว่า "สามารถทำได้พระเจ้าข้า" หลังจากนั้นพระอานนท์ได้ออกแบบทำจีวรให้มีรูปร่างตามพุทธประสงค์ถวายคือมีลักษณะคล้ายผืนนาที่มีคันนาคั่นเป็นระยะๆ พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่า "พระอานนท์" เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจคำสั่งของเราได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องและชัดเจน"ที่พระพุทธองค์มีรับสั่งให้ออกแบบจีวรเช่นนั้น เพราะมีพระประสงค์ ๓ ประการ คือ๑. ผ้าที่มีราคาแพงๆ หากตัดเป็นชิ้นๆ จะทำให้ผ้าราคาตก แทบไม่มีใครต้องการ๒ .เมื่อนำเศษผ้าที่ตัดแล้วมาเย็บติดกัน จะทำให้เกิดรอยตะเข็บ มีตำหนิขาดความสวยงาม๓. ยิ่งนำไปย้อมเปลี่ยนสีพร้อมทั้งทำเครื่องหมาย (ทำพินทุ ใช้ปากกาหรือดินสอทำเป็นจุดที่ผ้าจีวร) ทำให้สีของผ้าเศร้าหมอง ไม่มีค่าไม่มีราคา ไม่เป็นที่ต้องการของใคร ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าสนใจ ไม่มีประโยชน์สำหรับใครๆ โจรผู้ร้ายไม่แย่งชิง แบบจีวรที่ถูกกำหนดตัดเย็บมาแต่โบราณ จึงถือเป็นแบบอย่างใช้มาจนถึงปัจจุบันที่มา : ศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย

Sat, 22 Aug 2009 19:57:50 +0700

ผู้มีจิตศรัทธาต้องการถวายผ้าจีวรแก่พระสงฆ์ควรทราบ ๑. ข้อควรปฏิบัติ คือ จะเลือกซื้อจีวรแบบไหนสีใดไปถวายพระวัดใด ต้องคำนึงถึงคุณภาพของผ้า ที่พระท่านสามารถใช้สอยได้อย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่งคือ ต้องเลือกสีให้ถูกต้องตรงตามสีของวัดนั้นๆที่ใช้ ๒. จุดประสงค์การถวายผ้าจีวร เพื่อให้พระภิกษุหมดภาระในการแสวงหาผ้านุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลใจ มีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างเพียงพอ และเป็นการช่วยให้พระภิกษุมีผ้านุ่งห่ม ป้องกันเหลือบยุง บำบัดความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันไม่ให้ป่วยไข้เพราะร้อนและหนาวเกินไป และรักษาสุขภาพอนามัยคือใช้ชายจีวรกรองน้ำดื่มเมื่อถึงคราวจำเป็น ๓. อานิสงส์การถวายจีวร ผู้ถวายต้องตั้งเจตนาบริจาคให้เป็นทานบารมีที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ให้เกิดการเสียดาย จึงบังเกิดเป็นบุญมหาศาล แยกได้ดังนี้ (๑) สามารถตัดบาปออกไปจากจิตใจได้เด็ดขาด (๒) กำจัดกิเลสขวางโลก คือ ความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนียว ให้บรรเทาเบาบางจนจางหายไปในที่สุด (๓) ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นสุขสดใสใจเบิกบาน (๔) เกิดความภาคภูมิใจที่มั่นคงอยู่ในบุญกุศล (๕) พ้นจากความยากจน ความลำบากขัดสนทุกภพทุกชาติ (๖) มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ ทุกภพทุกชาติ (๗) เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องแจ่มใส (๘) ทำให้บังเกิดความอิ่มบุญ เย็นใจตลอดเวลาทุกครั้งที่นึกถึง ที่มา : ศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย

ติดต่อทางร้าน

Sat, 22 Aug 2009 19:32:04 +0700

ศูนย์บริขารธุดงค์ หน้าวัดเศวตฉัตร คลองสาน เวลาทำการ จันทร์-อาทิตย์ 08.30-17.30 โทร.02-438-4353,02-437-4739 ศูนย์บริขารธุดงค์ ซ.เรวดี นนทบุรี ย้ายไปอยู่อยุธยาแล้วครับ สาขาอยุธยา (ร้านอยู่หลังห้างเซ็นทรัลอยุธยา เวลาทำการ จันทร์-อาทิตย์ 08.00-18.00 โทร.065-434-9419,098-565-6469 ศูนย์บริขารธุดงค์ ถ.พุทธมณฑลสาย2 เวลาทำการ จันทร์-อาทิตย์ 08.30-17.00 โทร.02-887-2610,02-887-2418 บริการจัดส่งสินค้าแบบพัสดุเก็บเงินปลายทางไปรับสินค้าที่ไปรษณีย์ จันทร์-อาทิตย์ 08.30-17.30 โทร.02-438-4353,02-437-4739 คลิกเพื่อดูแผนที่

ขนาดของจีวรและชุดไตร

Fri, 21 Aug 2009 18:27:46 +0700

ขนาดจีวรและชุดไตร จีวร นั้นก็มีขนาดคล้ายกับเสื้อผ้าทั่วไป ศูนย์บริขารธุดงค์ ถือว่าเป็นเจ้าแรกในประเทศและเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดขนาดของจีวรที่ใช้ อยู่ในปัจจุบันนี้ ขนาดของจีวรที่ศูนย์บริขารธุดงค์มีขายตามปกติก็คือ ขนาด สูง 190 ซ.ม. กว้าง 300 ซ.ม. เหมาะกับพระสงฆ์ที่สูงไม่เกิน 160 ซ.ม. ขนาด สูง 200 ซ.ม. กว้าง 300 ซ.ม. เหมาะกับพระสงฆ์ที่สูง 160 – 170 ซ.ม. ขนาด สูง 210 ซ.ม. กว้าง 310 ซ.ม. เหมาะกับพระสงฆ์ที่สูง 170 – 180 ซ.ม. ขนาด สูง 220 ซ.ม. กว้าง 320 ซ.ม. เหมาะกับพระสงฆ์ที่สูง 180 ซ.ม. ขึ้นไป หรือพระที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ถ้าจะนำไปถวายพระโดยไม่เจาะจงผู้รับ แนะนำให้เลือกขนาด 200 ซ.ม.หรือ 210 ซ.ม. เพราะเป็นขนาดกลางๆที่พระส่วนใหญ่ครอง สำหรับขนาดของชุดไตรนั้นให้ถือเอาขนาดของจีวรเป็นเกณฑ์ เช่นจีวรขนาด 200 ซ.ม.ชุดไตรนั้นก็เป็นขนาด 200 ซ.ม. .

การเลือกเนื้อผ้า

Fri, 21 Aug 2009 18:15:32 +0700

การเลือกเนื้อผ้าผ้าที่ศูนย์บริขารใช้ตัดเย็บ ชุดไตรนั้น เป็นผ้าฝ้ายทั้งสิ้น เหตุที่ใช้แต่ผ้าฝ้ายอย่างเดียวนั้น เพราะพระสงฆ์ท่านต้องย้อมผ้าเอง ผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่สามารถนำไปย้อมเองได้ง่าย ผ้าฝ้ายที่ทางศูนย์บริขารธุดงค์เลือกใช้นั้น มี 4 แบบ คือ (เรียงจากเนื้อบางไปหาเนื้อหนา)1. ผ้ามัสลิน จัดว่าเป็นผ้าที่มีมาไม่น้อยกว่า 300 ปี มีต้นกำเนิดที่เมือกดักกา ประเทศบังกลาเทศ เผยแพร่และได้รับความนิยมในแถบตะวันออกกลาง โดยตั้งชื่อตามเมืองที่ชาวยุโรปไปพบ คือเมือง Mosul เหตุที่ศูนย์บริขารธุดงค์เลือกผ้ามัสลินมาตัดเย็บเพราะเป็นผ้าเนื้อละเอียด ระบายอากาศดี แห้งเร็ว น้ำหนักเบา เหมาะกับเมืองร้อนแบบบ้านเรา จีวรผ้ามัสลินของศูนย์บริขารธุดงค์ถือเป็นจีวรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด2. ผ้าเบอร์หมื่น (ผ้าประภัสสร) เป็นผ้าที่มีความหนามากกว่าผ้ามัสลินขึ้นมาอีกนิด เนื้อผ้าซับเหงื่อได้ดี เนื้อผ้านิ่ม นุ่งห่มสบาย สบงผ้าเบอร์หมื่นของศูนย์บริขารธุดงค์นั้นได้รับความนิยมมาก เพราะใช้แล้วเนื้อผ้าจะนิ่ม นุ่งสบาย3. ผ้าซันฟอร์ไรท์ (ผ้าดิบลาย1) เป็นผ้าที่มีเนื้อหนาถัดจากผ้าเบอร์หมื่น เป็นผ้าเนื้อหนาเหมาะสำหรับนุ่งห่มในที่ๆอากาศเย็น4. ผ้าลาย2 เป็นเนื้อผ้าที่หนาที่สุดของศูนย์บริขารธุดงค์ ที่ใช้ตัดเย็บชุดไตร จีวร เนื้อผ้าทนทานมาก

Fri, 21 Aug 2009 17:26:02 +0700

testtesttesttesttesttesttesttesttesttesttesttesttesttest

ชุดไตรและสีของผ้า